บทพากย์เอราวัณเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(รัชกาลที่ 2) ใช้สำหรับประกอบการแสดงโขน การแสดงมหรสพ มีความโดดเด่นทางด้านวรรณศิลป์การใช้ถ้อยคำพัฒนา
ตัวละครและฉากในท้องเรื่อง โดยบรรยายเหตุการณ์ตอนที่อินทรชิตโอรสของทศกัณฐ์แปลงกายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ยกทัพไปรบกับพระรามอินทรชิตเป็นโอรสทศกัณฐ์กับนางมณโฑเดิมชื่อรณพักตร์ เมื่ออายุ 15 ปี
ได้ลาบิดาไปเรียนศิลปวิทยาแล้วไปบําเพ็ญพรตเพื่อขอพรและศรวิเศษจากพระอิศวร พระนารายณ์
และพระพรหม เมื่อได้รับพรและอาวุธวิเศษแล้วจึงเกิดความหึกเหิมบุกสวรรค์และท้าพระอินทร์รบและชนะพระอินทร์ ทศกัณฐ์เมื่อทราบข่าวบุตรของตนมีชัยชนะก็ดีใจมากจึงเปลื่ยนชื่อใหม่ว่า
อินทรชิต
![]() |
ที่มา : http://www.oocities.org/hanumarn2k/intarachit.jpg |
เรื่องรามเกียรติ์ พระรามรบกับทศกัณฐ์หลายครั้งหลังจากกุมภกรรณอนุชาของทศกัณฐ์ออกรบกับพระรามและถูกสังหารไป อินทรชิตก็อาสาออกรบบ้างในศึกครั้งแรกอินทรชิตต้องศรของพระลักษณ์ทำให้ต้องพ่ายแพ้ อินทรชิตจึงไปทำพิธีชุบศรที่พระพรหมประทานเมื่อรบอีกครั้งพระลักษณ์ต้องศรของอินทรชิตพระรามก็แก้พิษศรได้ต่อมาอินทรชิตชุบศรที่พระอิศวรประทานให้และออกศึกอีกครั้งโดยใช้เวทมนต์ที่ พระอิศวรประทานให้แปลงกายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณการศึกครั้งนี้อินทรชิตแผลงศรสังหาร พระลักษณ์ได้แต่หนุมานไปหายาแก้พิษได้พระลักษณ์จึงฟื้นขึ้นมา พระลักษมณ์จะแผลงศรพรหมาสตร์ฆ่าอินทรชิตพิเภกทูลว่าอินทรชิตนั้นได้พรจากพระอิศวรว่า หากสิ้นชีวิตเศียรตกลงดินจะเกิดเป็นไฟบรรลัยกัลป์ไหม้ทั่วจักรวาล ต้องเอาพานแว่นฟ้าของพระพรหมมารับ พระลักษณ์จึงให้องคตไปขอพานแว่นฟ้าจากพระพรหมเมื่อได้พานแล้ว พระลักษณ์แผลงศรพรหมมาสตร์ตัดเศียรอินทรชิตขาดองคตเอาพานเข้าไปรองรับ ส่วนพระรามให้เอาพานใส่เศียรอินทรชิตไปชูไว้กลางอากาศแล้วแผลงศรพรหมาสตร์ทําลายเศียรนั้น
![]() |
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/home/blog_data/131/38131/images/268_1212246109_jpg_212.jpg |
ลักษณะคำประพันธ์ บทพากย์เอราวัณใช้คำประพันธ์ประเภทกาพย์ฉบัง
16 ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1 บทนำแบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรกมีจำนวน 6 คำ วรรคที่ 2 มีจำนวน 4 คำ วรรคสุดท้ายมีจำนวน 6 คำสัมผัสบังคับ ได้แก่ คำสุดท้ายของวรรคแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสระหว่างบทคือคำสุดท้ายของบทแรกสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคแรกในบทต่อไป
![]() |
บทพากย์เอราวัณ
๏ อินทรชิตบิดเบือนกายิน เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวัณ
๏
ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน เผือกผ่องผิวพรรณ
สีสังข์สะอาดโอฬาร์
๏
สามสิบสามเศียรโสภา เศียรหนึ่งเจ็ดงา
ดั่งเพชรรัตน์รูจี
๏
งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี สระหนึ่งย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
๏ กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์ ดอกหนึ่งแบ่งบาน
๏ กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์ ดอกหนึ่งแบ่งบาน
มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
๏
กลีบหนึ่งมีเทพธิดา เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยลำเพานงพาล
๏ นางหนึ่งย่อมมีบริวาร อีกเจ็ดเยาวมาลย์
๏ นางหนึ่งย่อมมีบริวาร อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรูปนิรมิตมายา
๏ จับระบำรำร่ายส่ายหา ชำเลืองหางตา
ทำทีดังเทพอัปสร
๏
มีวิมานแก้วงามบวร ทุกเกศกุญชร
ดังเวไชยันต์อมรินทร์
๏ เครื่องประดับเก้าแก้วโกมิน ซองหางกระวิน
สร้อยสายชนักถักทอง
๏ ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง ผ้าทิพย์ปกตระพอง
๏ ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง ผ้าทิพย์ปกตระพอง
ห้อยพู่ทุกหูคชสาร
๏ โลทันสารถีขุนมาร เป็นเทพบุตรควาญ
๏ โลทันสารถีขุนมาร เป็นเทพบุตรควาญ
ขับท้ายที่นั่งช้างทรง
๏
บรรดาโยธาจัตุรงค์ เปลี่ยนแปลงกายคง
เป็นเทพไทเทวัญ
๏ ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์ ทัพหลังสุบรรณ
๏ ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์ ทัพหลังสุบรรณ
กินนรนาคนาค
๏ ปีกซ้ายฤาษิตวิทยา คนธรรพ์ปีกขวา
ตั้งตามตำรับทัพชัย
๏ ล้วนถืออาวุธเกรียงไกร โตมรศรชัย
พระขรรค์คทาถ้วนตน
๏ ลอยฟ้ามาในเวหน รีบเร่งรี้พล
มาถึงสมรภูมิชัย ฯ
ฯ
เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้นจึงพระจักรี พอพระสุริย์ศรี
๏ เมื่อนั้นจึงพระจักรี พอพระสุริย์ศรี
อรุณเรืองเมฆา
๏
ลมหวนอวลกลิ่นมาลา เฟื่องฟุ้งวนา
นิวาสแถวแนวดง
๏ ผึ้งภู่หมู่คณาเหมหงส์ ร่อนราถาลง
แทรกไซ้ในสร้อยสุมาลี
๏ ดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริย์ศรี ไก่ขันปีกตี
กู่ก้องในท้องดงดาน
๏ ปักษาตื่นตาขันขาน หาคู่เคียงประสาน
สำเนียงเสนาะในไพร
๏ เดือนดาวดับเศร้าแสงใส สร่างแสงอโณทัย
ก็ผ่านพยับรองเรือง
๏ จับฟ้าอากาศแลเหลือง ธิบดินทร์เธอบรรเทือง
บรรทมฟื้นจากไสยา
ฯ เจรจา ฯ
๏
เสด็จทรงรถแก้วโกสีย์ ไพโรจน์รูจี
จะแข่งซึ่งแสงสุริย์ใส
๏ เทียมสินธพอาชาไนย เริงร้องถวายชัย
ชันหูระเหิดหฤหรรษ์
๏ มาตลีสารถีเทวัญ กรกุมพระขรรค์
ขับรถมากลางจัตุรงค์
๏ เพลารอยพลอยประดับดุมวง กึกก้องกำกง
๏ เพลารอยพลอยประดับดุมวง กึกก้องกำกง
กระทบกระทั่งธรณี
๏ มยุรฉัตรชุมสายพรายศรี พัดโบกพัชนี
กบี่ระบายโบกลม
๏
อึงอินทเภรีตีระงม แตรสังข์เสียงประสม
ประสานเสนาะในไพร
๏ เสียงพลโห่ร้องเอาชัย เลื่อนลั่นสนั่นใน
พิภพเพียงทำลาย
๏
สัตภัณฑ์บรรพตทั้งหลาย อ่อนเอียงเพียงปลาย
ประนอมประนมชมชัย
๏ พสุธาอากาศหวาดไหว เนื้อนกตกใจ
ซุกซ่อนประหวั่นขวัญหนี
๏ ลูกครุฑพลัดตกฉิมพลี หัสดินอินทรี
คาบช้างก็วางไอยรา
๏ วานรสำแดงเดชา หักถอนพฤกษา
ถือต่างอาวุธยุทธยง
๏ ไม้ไหล้ยูงยางกลางดง แหลกลู่ล้มลง
ละเอียดด้วยฤทธิโยธี
๏ อากาศบดบังสุริย์ศรี เทวัญจันทรี
ทุกชั้นอำนวยอวยชัย
๏ บ้างเปิดแกลแก้วแววไว โปรยทิพมาลัย
ซ้องสาธุการบูชา
๏ ชักรถรี่เรื่อยเฉื่อยมา พุ่มบุษปมาลา
กงรถไม่จดธรณินทร์
๏ เร่งพลโยธาพานรินทร์ เร่งรัดหัสดิน
วานรให้เร่งรีบมา
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้นพระศรีอนุชา เอื้อนอรรถวัจนา
ตรัสถามสุครีพขุนพล
๏ เหตุไฉนสหัสนัยน์เสด็จดล สมรภูมิไพรสณฑ์
เธอมาด้วยกลอันใด
๏ สุครีพทูลทัดเฉลยไข ทุกทีสหัสนัยน์
เสด็จด้วยหมู่เทวา
๏ อวยชัยถวายทิพมาลา บัดนี้เธอมา
เห็นวิปริตดูฉงน
๏ ทรงเครื่องศัสตราแย่งยล ฤๅจะกลับเป็นกล
ไปเข้าด้วยราพณ์อาธรรมม์
๏
พระผู้เรืองฤทธิแข็งขัน คอยดูสำคัญ
อย่าไว้พระทัยไพรี
๏ เมื่อนั้นอินทรชิตยักษี ตรัสสั่งเสนี
ให้จับระบำรำถวาย
๏
ให้องค์อนุชานารายณ์ เคลิบเคลิ้มวรกาย
จะแผลงซึ่งศัสตรศรพล
ฯ เจรจา ฯ
๏ อินทรชิตสถิตเหนือเอรา วัณทอดทัศนา
เห็นองค์พระลักษณ์ฤทธิรงค์
๏
เคลิบเคลิ้มหฤทัยใหลหลง จึงจับศรทรง
พรหมาสตร์อันเรืองเดชา
๏
ทูนเหนือเศียรเกล้ายักษา หมายองค์พระอนุชา
ก็แผลงสำแดงฤทธิรณ
๏
อากาศก้องโกลาหล โลกลั่นอึงอล
อำนาจสะท้านธรณี
๏
ศรเต็มไปทั่วราศี ต้ององค์อินทรีย์
พระลักษณ์ก็กลิ้งกลางพล
ฯ เจรจา อินทรชิตกลับทัพ ฯ
ฯลฯ
บทพากย์เอราวัณ
เป็นบทพระราชนิพนธ์ที่เลือกลักษณะคำประพันธ์ได้เหมาะสมกับเนื้อหา กล่าวคือ
ใช้กาพย์ฉบัง 16 สำหรับพรรณนาเรื่องราวที่กระชับรวดเร็ว เช่น การเดินทาง การรบ อีกประการหนึ่ง คือ
กาพย์ฉบังมีฉันทลักษณ์ไม่ยาวนักซึ่งเหมาะสำหรับผู้อ่านจะได้ลองฝึกพากย์ตามบท มีการใช้คำที่เหมาะสมจนสามารถจดจำกันได้โดยทั่วไป เหมาะสำหรับเป็นบทพากย์ในการแสดงโขน ที่จะทำให้ผู้ชมได้รับอรรถรส
ความสนุกสนาน ชื่นชมความงามของท่าทางร่ายรำ ทำให้เกิดจินตนาการ เกิดความประทับใจในศิลปวัฒนธรรมที่ควรส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของชาติสืบไป
วีดีโอการอ่านทำนองเสนาะ
อ้างอิง
กลอน
เนื้อหา
ฟองจันทร์ สุขยิ่ง และคณะ.(2555). ภาษาไทยวรรณคดีและวรรณกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 2).
กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น